ติวตัน ที่อาศัยอยู่แถบฝั่งแซมแลนด์ของทะเล บอลติกในปรัสเซียตะวันออก ได้พบหินสีเหลืองชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อถูกแสงอาทิตย์ก็จะมีประกายคล้ายทองคุณสมบัติพิเศษของมันคือเมื่อโยนลงในกองไฟมันจะสุกสว่างและติดไฟได้เรียกกันว่าอำพันซึ่งเกิดจากการทับถมของยางไม้เป็นเวลานาน ๆ อำพันถูกนำมาเป็นเครื่องประดับและหวี เมื่อนำแท่งอำพันมาถูก
ด้วยขนสัตว์ จะเกิดประกายไฟขึ้นได้ และเมื่อหวีผมด้วยหวีที่ทำจากอำพันก็จะมีเสียงดังอย่างลึกลับ และหวีจะดูดเส้นผม เหมือนว่าภายในอำพันมีแรงลึกลับอย่างหนึ่งซ่อนอยู่
เมื่อก่อนคริสต์ศักราช 600 ปี ทาลีส (Thales)
นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกได้ค้นพบไฟฟ้าขึ้นกล่าวคือเมื่อเขาได้นำเอาแท่งอำพันถูกับผ้าขนสัตว์
แท่งอำพัน จะมีอำนาจดูดสิ่งของต่าง ๆ ที่เบา ได้ เช่น เส้นผมเศษกระดาษ เศษผง
เป็นต้น เขาจึงให้ชื่ออำนาจ นี้ว่า ไฟฟ้า หรือ อิเล็กตรอน (Electron)ซึ่งมาจาก
ภาษา กรีกว่า อีเล็กตร้า (Elektra)
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600 )
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ ดร.วิลเลี่ยม กิลเบิร์ต (William Gilbert)ได้ทำการทดลองอย่างเดียวกันโดยนำเอาแท่งแก้วและแท่งยางสนมาถูกับผ้าแพรหรือผ้าขนสัตว์แล้วนำ
มาทดลองดูดของเบา ๆจะได้ผลเช่นเดียวกับทาลีส
กิลเบิร์ตจึงให้ชื่อไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนี้ว่า อิเล็กตริกซิตี้ (Electricity)
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2280 (ค.ศ. 1747)
เบนจามิน แฟรงคลิน(BenjaminFranklin)นักวิทยาศาสตร์
ชาวอเมริกันได้ค้นพบไฟฟ้าในอากาศขึ้น
โดยการทดลองนำว่าวซึ่งมีกุญแจผูกติดอยู่กับสายป่านขึ้นในอากาศขณะที่เกิดพายุฝน
เขาพบว่าเมื่อเอามือไปใกล้กุญแจก็ปรากฏประกายไฟฟ้ามายังมือของเขาจากการทดลองนี้ทำให้เขาค้นพบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฟ้าแลบ
ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ซึ่งเกิดจากประจุไฟฟ้าในอากาศ
นับตั้งแต่นั้นมาแฟรงคลินก็สามารถประดิษฐ์สายล่อฟ้าได้เป็นคนแรกโดยเอาโลหะต่อไว้กับยอดหอคอยที่สูง
ๆ แล้วต่อสายลวดลงมายังดิน ซึ่งเป็นการป้องกันฟ้าผ่าได้กล่าวคือไฟฟ้าจากอากาศ
จะไหล
เข้าสู่โลหะที่ต่ออยู่กับยอดหอคอยแล้วไหลลงมาตามสายลวดที่ต่อเอาไว้ลงสู่ดินหมดโดยไม่เป็นอันตรายต่อคนหรืออาคารบ้านเรือน
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2333 (ค.ศ. 1790)
วอลตา (Volta) นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนได้ค้นพบไฟฟ้าที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี
โดยนำเอาวัตถุต่างกันสองชนิด เช่น ทองแดงกับสังกะสีจุ่มในน้ำยาเคมี
เช่นกรดีกำมะถันหรือกรดซัลฟิวริก
โลหะสองชนิดจะทำปฏิกิริยาทางเคมีกับน้ำยาเคมีทำให้เกิดไฟฟ้าขึ้นได้เรียกการทดลองนี้ว่า
วอลเทอิก เซลล์ (Voltaic Cell)ซึ่งต่อมาภายหลังวิวัฒนาการมาเป็น
เซลล์แห้ง หรือถ่านไฟฉาย และเซลล์เปียกหรือแบตเตอรี่
พ.ศ. 2374 (ค.ศ. 1831)
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday)ได้ค้นพบไฟฟ้าที่เกิดจากอำนาจแม่เหล็ก
โดยนำขดลวดเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็ก
ทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดซึ่งต่อมาภายหลังได้ถูก นำมาประดิษฐ์เป็น
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขึ้น
พ.ศ. 2420 – 2430 (ค.ศ.1877-1887) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ โทมัส อัลวา
เอดิสัน (Thomas A. Edison) ได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าขึ้นสำเร็จเป็นคนแรก
และยังได้ประดิษฐ์อุปกรณ์์ไฟฟ้าอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์
หีบเสียง เครื่องอัดสำเนา เป็นต้น จนได้รับฉายา ว่าเป็น พ่อมดใน วงการอุตสาหกรรม
นอกจากนี้
ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายท่าน เช่น อะเล็กซานเดอร์ เกรแฮมเบลล์ (Alexander Graham Bell) ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์และ
มาร์โคนี (Marconi) นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนเป็นผู้ค้นพบการส่งสัญญาณวิทยุ
เป็นต้น
ที่มา:http://www.mwit.ac.th/~physicslab/content_01/electricitis/electric43.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น